การเช็คระยะซ่อมบำรุงรถติดแก๊สต้องรู้!
การเช็คระยะซ่อมบำรุง รถติดแก๊ส ปัญหารถติดแก๊ส รถติดแก๊สทำให้เครื่องยนต์พัง ระยะการใช้งานสั้นลงจริงหรือไม่? แล้วการดูแลรถติดแก๊ส LPG และ NGV ต้องทำอย่างไร? ตรวจเช็คอะไรบ้าง? การติดตั้งแก๊ส lpg ในรถยนต์ ต้องซ่อมบำรุงอะไรบ้าง? หลายคนเคยได้ยินว่า ติดแก๊สรถยนต์แล้วรถจะมีปัญหา รถจะเสียหาย การใช้งานอายุของรถจะสั้นลงมากกว่าน้ำมัน แต่ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่า ไม่มีผลที่จะทำให้อายุเครื่องสั้นลงหากคุณไม่ได้เอา ราคาติดตั้งแก๊ส มาเป็นตัววัด เพราะอุปกรณ์แก๊สที่ดี การติดตั้งแก๊ส lpg ที่ถูกวิธี และซ่อมบำรุงอย่างถูกวิธี จะไม่ทำให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ลดลง เป็นเรื่องปกติสำหรับคนใช้รถยนต์ที่เมื่อถึงเวลาก็จะต้องนำรถของคุณไปทำการตรวจสภาพหรือเช็คระยะซ่อมบำรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นรถติดแก๊สไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น ลดอัตราการสิ้นเปลือง ช่วยยืดอายุการใช้งาน และเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่เอง ซึ่งโดยทั่วไปควรนำรถมาเช็คระยะทุก 10,000 – 20,000 km. หรือขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่นและระยะการใช้งานของอุปกรณ์แก๊สแต่ละรุ่นที่เราติดตั้ง
การเช็คระยะซ่อมบำรุงรถติดแก๊สของหงษ์ทองแก๊ส
สำหรับการเช็คระยะซ่อมบำรุงรถแก๊สของหงส์ทองแก๊ส เรามีทีมช่างที่เชี่ยวชาญและวางใจได้ในเรื่องรถติดแก๊สโดยเฉพาะ ซึ่งมีความละเอียดพิถีพิถันทุกขั้นตอน ทุกชิ้นส่วนของอุปกรณ์แก๊สที่ติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็น กรองแก๊ส ท่อยาง หัวเทียน การตั้งวาล์ว กรองอากาศ ปีกผีเสื้อ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง กรองแอร์ การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ การเช็คระยะทั่วไป ตลอดจนการปรับจูนแก๊ส เหล่านี้ล้วนมีมาตรฐานสูงและถูกต้องตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบก
รถติดแก๊สต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง? แต่ละชิ้นส่วนสำคัญอย่างไร? ทำไมและเมื่อไหร่ที่ต้องเปลี่ยน? มีผลดีผลเสียอย่างไร?
10 ขั้นตอนการเช็คระยะซ่อมบำรุงรถติดแก๊สของหงษ์ทองแก๊ส มีดังนี้
1.การเปลี่ยนกรองแก๊ส
กรองแก๊ส ถือเป็นหัวใจของการเช็คระยะรถติดแก๊สไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV เนื่องจากเป็นด่านแรกที่จะทำการดักเศษฝุ่นและคราบทาร์(น้ำมันเหนียวข้นสีดำ), น้ำมันคอมเพลสเซอร์ ไม่ให้ผ่านเข้าไปยังหัวฉีดซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นกรองแก๊สจึงมีผลสำคัญในการช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหรอ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราใช้งานรถติดแก๊ส NGV หรือ LPG ไปนานๆ กรองแก๊สจะมีทั้งสิ่งสกปรก เศษฝุ่น และคราบน้ำมันเข้ามาจับ ทำให้แก๊สผ่านเข้ามายังหัวฉีดได้น้อยลงจากค่าที่ตั้งหรือจูนไว้ตอนแรก เรียกว่า แก๊สบาง ไม่เพียงพอต่อการเผาไหม้ หรือหากมีสิ่งสกปรก คราบน้ำมันผ่านเข้ามายังหัวฉีด ก็จะทำให้หัวฉีดเสียหาย ประสิทธิภาพในการทำงานของระบบแก๊สก็จะลดลง จึงมีโอกาสทำให้เครื่องยนต์สึกหรอมากขึ้น
ปัจจุบันกรองแก๊สมีหลากหลายประเภท ทั้งแบบกระดาษ ไฟเบอร์ โพลิเอสเตอร์ ฯลฯ แล้วแต่ยี่ห้อ แล้วแต่รุ่น โดยทั่วไปการเปลี่ยนกรองแก๊สมีกำหนดการเช็คระยะอยู่ที่ประมาณ 20,000 km. (ในต่างประเทศประมาณ 15,000 km.) ขึ้นอยู่กับความสกปรก รวมถึงยี่ห้อหรือความละเอียดของกรองแก๊สแต่ละรุ่นด้วย อาทิ กรองแก๊สยี่ห้อ Prins ระยะการใช้งานจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 km. เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อการันตีว่าจะไม่ทำให้หัวฉีด ระบบเครื่องยนต์ และระบบแก๊สเกิดความเสียหาย, กรองแก๊สทั่วไป ระยะการใช้งานจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 km.
2. การเปลี่ยนท่อยางแก๊ส
ท่อยางแก๊ส อีกชิ้นส่วนสำคัญในระบบการกรองแก๊ส หากเกิดความเสียหายอาจจะทำให้แก๊สรั่ว ซึ่งปัญหารถติดแก๊สที่คนส่วนใหญ่มักกังวลคืออันตรายจากแก๊สรั่วแล้วทำให้เกิดการติดไฟหรือไฟลุก แต่ในความเป็นจริงโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากการที่แก๊สจะติดไฟได้ต้องมีออกซิเจนเข้ามาเป็นส่วนผสมในปริมาณ 60% แต่ขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่นั้น อากาศที่เข้ามาปะทะหน้าเครื่องทำให้แก๊สที่รั่วออกมาถูกระบายออกไปจนเจือจางแล้วนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามกลิ่นแก๊สที่รั่วเข้ามาในรถหรือห้องโดยสารอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ดังนั้น ระบบแก๊สที่ผ่านการติดตั้งด้วยอุปกรณ์แก๊สมาตรฐานสูง เกรดดี ตลอดจนมีการตรวจสภาพหรือเช็คระยะซ่อมบำรุงอยู่เสมอ จะช่วยตัดปัญหาคลายความกังวลของผู้ใช้รถติดแก๊สไปได้ โดยทุกครั้งในการเช็คระยะซ่อมบำรุงรถติดแก๊สของหงษ์ทองแก๊ส เราจะทำการ “เช็ครั่ว” คือดูว่ามีจุดไหนเกิดการรั่วหรือไม่ ทั้งในส่วนของท่อยางแก๊สและอุปกรณ์แก๊สอื่น ๆ ทั้งระบบ ซึ่งในการเปลี่ยนท่อยางแก๊สที่หงษ์ทองใช้เป็นท่อยางแก๊สเกรดอย่างดี มาตรฐานสูง อายุในการเช็คระยะหรือสมควรเปลี่ยนจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 km.หรือทุก ๆ 3 ปี
สำหรับท่อยางแก๊ส มีอยู่หลายเกรดทั้งแบบดีและแบบทั่วไป ซึ่งท่อยางแก๊สที่ยังอยู่สภาพดีควรมีลักษณะอ่อนนุ่ม ไม่แห้งแข็งหรือแตกลายงา อันเป็นสาเหตุที่จะทำให้แก๊สรั่วได้ ซึ่งถ้าหากเราใช้ท่อยางแก๊สเกรดไม่ดี เมื่อเจอความร้อนหรือใช้งานไปนาน ๆ อาจทำให้ท่อยางแก๊สเสื่อมสภาพหรือเสียรูป โดยเฉพาะตรงบริเวณข้อต่อที่เข็มรัด อายุการใช้งานจะสั้นลงและอาจเกิดแก๊สรั่วได้ง่าย
3. การเปลี่ยนหัวเทียน
การเปลี่ยนหัวเทียน หัวใจหลักของรถยนต์ไม่ว่าจะติดแก๊สหรือไม่ติดแก๊ส ซึ่งหัวเทียนก็มีหลายเกรด หลายรุ่น หลายแบบ แล้วแต่ความเหมาะสมกับรถของคุณ รวมถึงมีรุ่นที่ถูกออกแบบมาสำหรับรถติดแก๊สโดยเฉพาะ โดยปกติทั่วไปควรเปลี่ยนหัวเทียนทุก ๆ 40,000 km. เพื่อการรันตีว่าจะไม่เกิดความเสียหายในระบบแก๊ส และช่วยรักษาระบบองศาไฟจุดระเบิดของเครื่องยนต์รถติดแก๊สให้มีประสิทธิภาพการทำงานที่สมบูรณ์อยู่เสมอ
เนื่องจากรถยนต์ปกติถูกออกแบบมาเพื่อใช้น้ำมัน ดังนั้นระบบองศาไฟจุดระเบิด รวมถึงระบบ ECU น้ำมัน จึงถูกพ่วงรวมกับระบบของรถทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนเป็นการติดแก๊สจึงต้องมีการปรับจูนค่าต่าง ๆ ในระบบใหม่ เพื่อให้สามารถไปชดเชยเชื้อเพลิงในส่วนของระบบองศาไฟจุดระเบิดให้สมบูรณ์ตามแต่ประเภทของรถ โดยเฉพาะตัวเขี้ยวหัวเทียน เป็นส่วนสำคัญที่ต้องเช็คทุกครั้ง หากเกิดการสึกหรอจะทำให้ความแม่นยำของการจุดระเบิดผิดพลาดในจังหวะที่สูบอัดระเบิดคายและลูกสูบยกตัวขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าหัวเทียนเสียหาย อาจส่งผลให้คอยล์จุดระเบิดเสียตามไปด้วย ทำให้ค่าองศาไฟจุดระเบิดไม่สมบูรณ์และอาจเกิดอาการที่เรียกว่าเชื้อเพลิงหนา เชื้อเพลิงบาง หรืออาจจะโชว์ที่ไฟเอนจิ้นว่าเครื่องยนต์กำลังมีปัญหานั่นเอง
อย่างไรก็ตามในส่วนการเช็คระยะซ่อมบำรุงรถแก๊สของหงษ์ทอง หากช่างเช็คแล้วว่าหัวเทียนละเขี้ยวหัวเทียนยังอยู่สภาพดี ก็ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ (เนื่องจากการเปลี่ยนหัวเทียนมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง) แต่อย่างไรก็ตามแนะนำว่าควรเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ทุก ๆ 100,000 km. เพื่อความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์รถติดแก๊สของคุณ
4. การตั้งวาล์ว / การเช็ควาล์ว
การตั้งวาล์วหรือการเช็ควาล์วนั้นจะขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น โดยรถบางรุ่นวาล์วอาจเริ่มมีอาการในระยะ 40,000 km. แต่บางรุ่นอาจมีอาการตอนประมาณ 60,000 – 70,000 km. โดยสิ่งสำคัญที่จะทำให้วาล์วเริ่มมีปัญหา เช่น วาล์วยัน วาล์วรั่ว คือระบบการปรับจูนแก๊สและการตั้งค่าการจ่ายเชื้อเพลิง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากจูนแก๊สบางเกินไปก็จะทำให้เกิดปัญหา “วาล์วยัน” เร็วขึ้น เป็นต้น
หรือโดยปกติแล้วค่าออกเทนน้ำมันจะอยู่ที่ 95 ส่วนค่าออกเทนแก๊สจะอยู่ที่ 105 รถใช้แก๊สจึงใช้เวลาในการลามไฟนานกว่ารถใช้น้ำมัน ดังนั้นในจังหวะที่วาล์วไอเสียเปิดจะเหลือไฟลามไปเผาต่อที่วาล์วไอเสีย จึงเป็นสาเหตุหลักที่ให้เกิดอาการวาล์วยัน แต่ขณะเดียวกันการจูนแก๊สที่ไม่สมบูรณ์หรือหัวเทียนเริ่มเสื่อมสภาพก็เป็นอีกปัจจัยที่มีโอกาสทำให้วาล์วยันเร็วขึ้น และยังรวมถึงการไม่เปลี่ยนกรองแก๊สตามระยะที่กำหนดก็จะส่งผลพวงมาถึงเรื่องระบบวาล์วด้วยเช่นกัน ซึ่งหากไม่เช็คระยะหรือเปลี่ยนตามกำหนดคุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง (ประมาณ 20,000 กว่าบาท) ในการเปลี่ยนวาล์ว
อย่างไรก็ตามถ้านำรถติดแก๊สมาเช็คระยะกับทีมที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในเรื่องรถติดแก๊สโดยเฉพาะ ตลอดจนชุดอุปกรณ์แก๊สที่หงส์ทองแก๊สใช้ติดตั้งมั่นใจได้ว่าเป็นอุปกรณ์แก๊สมาตรฐานสูง เกรดดี และเรามีตรวจเช็คสภาพแบบครบวงจร มีการปรับจูนแก๊สที่แม่นยำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จึงทำให้ทั้งระบบแก๊ส เครื่องยนต์ และระบบต่าง ๆ ภายในรถทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น
5.การเปลี่ยนกรองอากาศ
กรองอากาศ เป็นอีกปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ เพราะในขณะที่เราขับรถแล้วรู้สึกว่าเครื่องอืด เร่งไม่ค่อยขึ้น ก็อาจเกี่ยวข้องกับกรองอากาศที่มีสิ่งสกปรกหรือเศษฝุ่นเข้ามาจับมากเกินไป เนื่องจากกรองอากาศคือส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายกับกรองแก๊ส คือช่วยกรองเศษฝุ่น ป้องกันสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่เครื่องยนต์ ควรเปลี่ยนกรองอากาศ ทุก ๆ 40,000 km. อัตราเร่งจึงจะดีขึ้น
แต่หากไม่เปลี่ยนกรองอากาศตามระยะที่กำหนดหรือปล่อยให้กรองอากาศเต็มไปด้วยฝุ่น ก็จะทำให้กำลังเครื่องลดลง เพราะอากาศสามารถผ่านได้น้อยลง ขณะที่หัวฉีดแก๊สและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องยังจ่ายเชื้อเพลิงในปริมาณเท่าเดิมหรือตามค่าที่ตั้งไว้
6.การล้างปีกผีเสื้อ
ปีกผีเสื้อ คือลิ้นที่ไว้ควบคุมการเปิดปิดทางเข้าออกของอากาศ โดยในรถรุ่นใหม่ ๆ ตั้งแต่ปี 2000 ขึ้นไปจะมีปีกผีเสื้อเป็นระบบไฟฟ้าควบคุมด้วยกล่อง ECU อาการของรถที่จะเกิดขึ้นหากปล่อยให้ปีกผีเสื้อสกปรกคือรอบเดินเบาจะสั่น ซึ่งการทำงานของปีกผีเสื้อเกี่ยวข้องกับกรองอากาสโดยตรง หากกรองอากาศสกปรกมาก ๆ ก็จะทำให้เศษฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมีโอกาสหลุดเข้ามาเกาะที่ปีกผีเสื้อมากขึ้น สังเกตเห็นได้จากเวลาล้างปีกผีเสื้อจะมีคราบน้ำมันดำ ๆ ไหลออกมา ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนกรองอากาศให้ตรงตามระยะที่กำหนด ปีกผีเสื้อจึงจะสะอาดอยู่เสมอ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อไปเช็คระยะก็ควรล้างปีกผีเสื้อสักครั้ง อย่างน้อยที่ระยะประมาณ 60,000 km. หรือไม่ควรปล่อยให้เกิน 100,000 km.
7. การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
รถยนต์ก็เหมือนร่างกายคนเราที่ต้องการวิตามินครบถ้วนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถธรรมดาหรือรถติดแก๊สก็ต้องมีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เพื่อรักษาสภาพเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของรถให้นานขึ้น ซึ่งปกติทั่วไปรถยนต์ทุกคันควรต้องมีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอยู่แล้วที่ระยะประมาณ 10,000 km. จึงจะทำให้สมรรถนะในการหล่อลื่นยังคงคุณสมบัติสมบูรณ์ดังเดิม
สำหรับอีกปัญหาที่หลายคนกังวลเกี่ยวกับรถติดแก๊สคือเรื่องของ “ความร้อน” โดยน้ำมันเครื่องจะมีการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ อุณหภูมิหรือองศาไฟจุดระเบิดของน้ำมันจะอยู่ที่ประมาณ 200-300 องศา ส่วนแก๊สจะอยู่ที่ประมาณ 500 องศา ทำให้ดูเหมือนว่ามีความร้อนสูงกว่า ซึ่งจริง ๆ มันเกิดจากความร้อนภายใน แต่ถ้าหากเราปรับองศาไฟจุดระเบิดได้สมบูรณ์ ก็จะทำให้ความร้อนตรงนั้นถูกระบายออกได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีน้ำมันเครื่องสำหรับรถติดแก๊สโดยเฉพาะ และการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรเลือกใช้ของแท้จากแหล่งที่เชื่อถือได้หรืออู่ที่ได้มาตรฐาน อย่างที่หงษ์ทองแก๊สเรามีน้ำมันเครื่องของแท้ให้เลือกหลากหลายคุณสมบัติ หลายเกรด ตามแต่ความเหมาะสมกับประเภทรถยนต์ของคุณ
8. การเปลี่ยนกรองแอร์
แม้ว่ากรองแอร์จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของเครื่องยนต์โดยตรง แต่ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่หงษ์ทองแก๊สมีบริการตรวจเช็คให้ เนื่องจากเราพบว่าผู้ใช้รถส่วนใหญ่ที่นำรถเข้ามาเช็คระยะเกินกำหนด มักละเลยหรือไม่ทันได้คำนึงถึงในเรื่องของฝุ่นละลองต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในตัวรถหรือห้องโดยสาร ทำให้กรองแอร์สกปรกและกลายเป็นที่สะสมของเศษฝุ่นและเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น แล้วส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้งานเอง เช่น อาการภูมิแพ้ อากาศไม่บริสุทธิ์ มีกลิ่นอับชื้น แอร์ไม่เย็น เป็นต้น ดังนั้นระยะที่แนะนำให้เปลี่ยนกรองแอร์จะอยู่ที่ประมาณทุก ๆ 10,000 – 20,000 km. หรืออาจล้างแอร์ทุก ๆ 50,000 km. ก็ได้
9. การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์
น้ำมันเกียร์ คือน้ำมันหล่อลื่นในระบบเกียร์ ทั้งระบบเกียร์ธรรมดาและระบบเกียร์อัตโนมัติ (ออโต้) ให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ ไม่สะดุด ลดแรงเสียดทานขณะเปลี่ยนเกียร์ อีกทั้งยังมีสารที่เป็นตัวช่วยล้างเศษโลหะที่เกิดจากการเสียดสี ป้องกันชิ้นส่วนต่าง ๆ ในระบบเกียร์ อย่าง ทอล์ค คอนเวอร์เตอร์ ฯลฯ ไม่ให้สึกหรอหรือเกิดสนิม เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ นอกจากการไม่การไม่เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่คู่มือรถแนะนำแล้ว การใช้งานหนักหรือไม่ทะนุถนอม ตลอดจนการใช้น้ำมันเกียร์ราคาถูกหรือไม่มีคุณภาพ ใช้ไม่ตรงตามรุ่นรถ จะทำให้เกิดการกระตุกตอนเปลี่ยนเกียร์ เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น รถไม่ออกตัวทันที และสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น ระยะที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์จึงควรอยู่ที่ประมาณทุก ๆ 40,000 km. ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์มีทั้งการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แบบทั่วไป คือการเปลี่ยนถ่ายในปริมาณครึ่งหนึ่งของน้ำมันเกียร์ในระบบ เช่น น้ำมันเกียร์ในระบบมีอยู่ 10 ลิตร ถ่ายออกแล้วเปลี่ยนใหม่ประมาณ 5 ลิตร เป็นต้น วิธีนี้ทำให้น้ำมันเกียร์ของใหม่เข้าไปผสมกับของเก่า ช่วยชะล้างชิ้นส่วนต่าง ๆ ในระบบเกียร์ได้ประมาณหนึ่ง ทำให้การทำงานไหลลื่นขึ้น
ส่วนการเปลี่ยนน้ำในเกียร์อีกวิธี คือ การ Flushing (ฟลัชชิ่ง) หรือการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ใหม่ทั้งระบบ โดยใช้เครื่อง Cooler Line inlet flush วิธีนี้จะทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ในระบบเกียร์สะอาดมากกว่า ที่สำคัญคุ้มค่ามากกว่า เพราะเหมือนเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพรถขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทำให้การออกตัวกระฉับกระเฉง แต่อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเล็กน้อย เพราะต้องใช้น้ำมันเกียร์ใหม่มากกว่านั่นเอง (ทั้งระบบใช้น้ำมันเกียร์ประมาณ 10 – 12 ลิตร) ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น อีกทั้งน้ำมันเกียร์สำหรับรถเกียร์ธรรมดาและรถเกียร์อัตโนมัติก็ไม่สามารถใช้แทนกันได้ จึงควรเลือกน้ำมันเกียร์ที่ตรงกับระบบเกียร์หรือรุ่นรถของคุณ เพื่อคงประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของรถให้นานขึ้น
สำหรับบริการเช็คระยะและเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ของหงษ์ทองแก๊ส นอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทั่วไปทุก ๆ 40,000 km. แล้ว เราแนะนำว่าควรเปลี่ยนแบบ Flushing (ฟลัชชิ่ง) ใหม่ทั้งระบบสักครั้งในทุก ๆ ระยะประมาณ 80,000 – 100,000 km. หรือไม่ควรปล่อยให้เกิน 120,000 km. เพื่อการทำงานที่สมบูรณ์ของระบบเกียร์ ซึ่งที่หงษ์ทองแก๊สเราก็มีน้ำมันเกียร์หลายรุ่น หลายเกรดให้เลือกใช้ตามแต่รุ่นรถของคุณ
10.การปรับจูนแก๊ส
การปรับจูนแก๊ส เรียกได้ว่าเป็น “บทสรุปของทุกอย่าง” เพราะทำให้สามารถเห็นสภาพการทำงานของรถยนต์ทั้งระบบ ทราบทันทีว่าตรงไหนที่เกิดปัญหาและแก้ไขได้ตรงจุด โดยแนะนำให้ผู้ใช้รถหรือรถติดแก๊ส ควรตรวจสภาพหรือเช็คระยะซ่อมบำรุงตามคำแนะนำในคู่มืออยู่เสมอ จะทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์ การปรับจูนแก๊สก็จะยิ่งมีความแม่นยำมากขึ้น แก๊สไม่หนาหรือบางเกินไป หรืออาจไม่จำเป็นต้องปรับจูนเลยก็ได้ ซึ่งหงษ์ทองแก๊ส เราใช้วิธีการปรับจูนแก๊สด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยทีมช่างที่มีความรู้ความชำนาญพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับรถติดแก๊ส อีกทั้งยังมีการนำรถขึ้นไปทดสอบกำลังหรือสมรรถนะบนเครื่อง Dyno Test ยิ่งทำให้เราสามารถปรับจูนค่าต่าง ๆ ในระบบ ความหนาบางของแก๊ส ฯลฯ ได้อย่างสมบูรณ์ ละเอียดและแม่นยำสูง ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้หงษ์ทองแก๊สแตกต่างจากที่อื่น
สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ ติดแก๊ส LPG กับหงษ์ทองแก๊ส “รับประกันคุณภาพคุ้มราคา”
- ศูนย์บริการมาตรฐานเทียบเท่าศูนย์รถยนต์
- มาตรฐานการติดตั้งระดับสูง ด้วยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ
- บริการหลังการขาย (After Service) แบบมืออาชีพ มั่นใจในบริการของเราได้
- คำนึงถึงปลอดภัยสูงสุด เราเลือกใช้อุปกรณ์ที่ตรวจสอบแล้ว มีคุณภาพและปลอดภัย
- ค่าบริการที่คุ้มค่า มาตรฐานบริการ ลดค่าเชื้อเพลิง (สามารถนำเงินส่วนต่างที่เหลือ ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้มากขึ้น)
บทความที่เกี่ยวข้อง :
ติดต่อสอบถามรายละเอียด